โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบบ่อยในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หนังศีรษะ คิ้ว และหลังหู อาการหลักคือ คันศีรษะ รอยแดง และมี รังแค สีเหลืองมัน หนังศีรษะลอกเป็นแผ่นๆ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น เชื้อรา Malassezia ที่เจริญเกินปกติ การตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน และการผลิตซีบัม (น้ำมัน) มากผิดปกติ
การรักษาโรคเซ็บเดิร์มในปัจจุบันมักใช้แชมพูยารักษาเชื้อรา หรือครีมลดการอักเสบ แต่หลายคนเริ่มหันมาสนใจวิธีการควบคุมโรคผ่านการปรับอาหาร โดยเฉพาะ การทานอาหารคีโต ซึ่งอาจส่งผลต่ออาการของโรค
โรคเซ็บเดิร์มกับการรักษาแบบเดิม
การรักษาอาจจะไม่มี แต่การบรรเทาอาการมีหลายแบบ โดยหลักมีเป้าหมายลดการอักเสบและควบคุมเชื้อรา แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือซิงก์ไพริไทออน (Zinc Pyrithione) ช่วยลดเชื้อราและรังแคได้ดี ในกรณีรุนแรงอาจใช้สเตียรอยด์ทาภายนอก แต่การใช้ยาต่อเนื่องอาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวบางลง โดยหนึ่งในคำแนะนำของการบรรเทาคือ การลดปริมาณคาร์บ น้ำตาล การพักผ่อนที่เพียงพอ และการไม่เครียด
อาหารคีโต (Ketogenic Diet) คืออะไร?
อาหารคีโตเป็นแผนการกินที่เน้นไขมันสูง (70-80%) คาร์โบไฮเดรตต่ำ (น้อยกว่า 5%) และโปรตีนปานกลาง เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิส (Ketosis) ซึ่งเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานแทนน้ำตาล นอกจากลดน้ำหนักแล้ว งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าคีโตอาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เช่น โรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ
อาหารคีโตกับโรคเซ็บเดิร์ม: ความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้
- ลดการอักเสบ – คีโตอาจลดสารก่อการอักเสบ (Inflammatory Markers) ในเลือด เช่น IL-6 และ TNF-alpha ซึ่งสัมพันธ์กับอาการคันและผื่นแดงของโรคเซ็บเดิร์ม
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – การจำกัดคาร์บช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อราได้อาหารจากน้ำตาล ซึ่งอาจลดการเติบโตของ Malassezia บนหนังศีรษะ
- เพิ่มกรดไขมันดี – การทานไขมันดี เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก และโอเมก้า-3 จากปลาทะเล ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและสมดุลการผลิตซีบัม
ข้อควรระวังและข้อพิจารณา
- ประเภทไขมัน – ไขมันอิ่มตัวสูง อาจกระตุ้นการผลิตซีบัมมากเกินไป แนะนำให้เน้นไขมันไม่อิ่มตัว
- ขาดสารอาหาร – หากไม่ทานผักหลากสี อาจขาดวิตามินบีและสังกะสี ซึ่งสำคัญต่อสุขภาพผิว
- ความเครียดจากการปรับตัว – การเริ่มคีโตอาจทำให้ร่างกายเครียดชั่วคราว จนอาการเซ็บเดิร์มกำเริบได้
คำแนะนำสำหรับผู้สนใจลองคีโต
- ปรึกษาแพทย์ก่อน – เพื่อประเมินความเหมาะสม โดยเฉพาะหากใช้ยารักษาโรคอยู่
- เลือกไขมันคุณภาพสูง – เพิ่มโอเมก้า-3 ลดน้ำมันพืชแปรรูป
- ดูแลผิวหนังควบคู่ไปด้วย – ใช้แชมพูรักษาเชื้อราสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- สังเกตอาการตัวเอง – บางคนอาจตอบสนองดีขึ้นภายใน 1-2 เดือน ในขณะที่บางคนอาจมีอาการแย่ลงชั่วคราว
สรุป
แม้ยังไม่มีงานวิจัยตรงที่ยืนยันประสิทธิภาพของคีโตต่อโรคเซ็บเดิร์ม แต่กลไกทางทฤษฎีเช่น การลดการอักเสบและควบคุมเชื้อรานั้นน่าสนใจ ผู้ป่วยควรทดลองภายใต้การดูแลแพทย์ และไม่หยุดการรักษาเดิมทันที การทานอาหารคีโตอย่างถูกหลักร่วมกับการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นทางเลือกเสริมที่ช่วยจัดการ รังแค และ อาการคันศีรษะ ได้ดีขึ้นในระยะยาว!
อย่าลืมว่าแต่ละคนตอบสนองต่ออาหารต่างกัน ดังนั้นการบันทึกอาการและปรับตัวให้เหมาะกับร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
อ้างอิง
- Borda, L. J., & Wikramanayake, T. C. (2015). Seborrheic Dermatitis and Dandruff: A Comprehensive Review. Journal of Clinical and Investigative Dermatology. ลิงก์
- Paoli, A. et al. (2019). Ketogenic Diet and Microbiota: Friends or Enemies? Genes. ลิงก์
- Sanders, M. G. H. et al. (2018). Malassezia Fungi Are Specialized to Live on Skin and Associated with Dandruff, Eczema, and Other Skin Diseases. PLOS Pathogens. ลิงก์
- Huang, T. H. et al. (2018). Cosmetic and Therapeutic Applications of Fish Oil’s Fatty Acids on the Skin. Marine Drugs. ลิงก์
- American Academy of Dermatology (AAD). Seborrheic Dermatitis: Overview. ลิงก์