Ketosis กุญแจสำคัญของการทานอาหารคีโต
Ketosis คีโตสิส เป็นชื่อของภาวะที่หนึ่งในกระบวนการที่เรียกว่า lipolysis (lipo- ไขมัน -lysis ย่อย/สลาย) ลิโปไลสิส จึงหมายถึง การที่ร่างกายเผาผลาญไขมันที่ถูกสะสมมานาน และใช้มันเป็นแหล่งพลังงานเหมือนกับที่มันสมควรที่จะถูกใช้ตั้งแต่ต้น
อาหารคีโต Keto Diet หรือ Ketogenic Diet
Keto + -Genic = “Derived from, substituted with, or involving a ketone”+”causing, forming, producing”
ถ้าแปลง่ายๆ ก็อะไรที่ก่อให้เกิดการสร้างอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ Ketone
ภาวะคีโตสิส Ketosis
Keto + -sis = “ketone” + “process/state”
ถ้าแปลก็ประมาณ สภาวะที่เต็มไปด้วยคีโตน
โดยผลผลิตหรือ by-product หนึ่งที่เกิดจากการเผาผลาญไขมันก็คือ คีโตน เพราะฉะนั้น Ketosis ก็คือกระบวนการขั้นที่สองของ lipolysis นั่นเอง เมื่อร่างกายปล่อยคีโตนที่ไม่ใช้ลงในปัสสาวะ มันก็เป็นตัวชี้วัดหนึ่งว่าคุณกำลังใช้ไขมันรวมทั้งไขมันที่ร่างกายสะสมในตัวเองเพื่อเป็นแหล่งพลังงานอยู่นั่นเอง
หากคุณลดปริมาณแป้งหรือคาร์บที่ทานเข้าไปให้น้อยกว่า 20-50 กรัมต่อวัน ร่างกายก็จะเปลี่ยนไปใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกแทนคารโบไฮเดรตโดยอััตโนมัติ หรือกล่าวโดยง่ายก็คือกระบวนการลิโปไลสิสเป็นกระบวนการทางเลือก แทนที่ร่างกายจะเผาผลาญแป้งและน้ำตาลเพื่อเป็นพลังงาน โดยกระบวนการเผาผลาญทั้งสองนั้นเป็นสิ่งปกติที่เกิดในร่างกายของคนเรา
คนทั่วไป รวมถึงแพทย์บางท่านอาจจะมีการสับสนคำว่า คีโตสิส Ketosis ซึ่งเป็นกระบวนการใช้พลังงานปกติของร่างกายจากไขมัน กับคำว่า ketoacidosis ซึ่งเป็นอาการที่เสี่ยงถึงเสียชีวิตได้ ในส่วนของ Ketoacidosis เป็นภาวะที่เกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้มีปริมาณคีโตนในเลือดเพิีมสูงจะเลือดเป็นกรด อาการนี้ยังอาจพบได้ในคนที่ทานเหล้าเยอะและคนที่อยู่ในสภาวะอดอาหารแบบสุดๆ (ในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 ที่ไม่มีการผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับของ ketones — Negative Feedback Loop)
Ketosis และ Ketoacidosis อาจจะฟังคล้ายๆกัน แต่ทั้งสองนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงนะครับ
ภาวะ ketosis คืออะไร
Insulin หรือฮอร์โมนอินซูลิน สามารถที่จะกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่เก็บพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งและน้ำตาล เมื่อปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำหรือไม่มีในกระแสเลือด ปริมาณ Insulin ก็จะลดลงด้วยซึ่งนำไปสู่การลดลงการสะสมไขมัน fat accumulation รวมถึงการลดลงของการสร้างไขมัน lipogenesis
หลังจากอดอาหารหลายวันหรือการทานคาร์โบไฮเดรตที่น้อยมาก ปริมาณน้ำตาลกลูโคสที่สะสมในร่างกาย (ในรูปของไกลโครเจน) ก็จะมีไม่เพียงพอต่อการทำงานปกติของร่างกาย ร่างกายก็จะอาศัยกระบวนการ beta-oxidation (เผาผลาญไขมัน) และใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับระบบประสาทส่วนกลาง CNS – Central Nervous System หรือสมองแทน
โดยปกติแล้วสมองนั้นไม่สามารถใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานโดยตรงได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในภาวะปกติสมองเลือกที่จะใช้พลังงานจากน้ำตาลกลูโคสแทน (ท่านๆเคยอาจสังเกตว่าเวลาหัวตื้อๆ ตอนบ่ายพอทานของหวานเข้าไปก็ทำให้สมองแล่นฉิวไหมครับ ทำไมอาหารเช้าฝรั่งถึงมีน้ำตาลเยอะ ทำไมตอนเช้าฝรั่งทานขนมปังกับแยม เพื่อนๆเคยเกิดอาการ Sugar crash ไหม เช่น รู้สึกเพลียหลังจากทานน้ำตาลเข้าไปซักระยะหนึ่ง)
หลังจากการอดคาร์โบไฮเดรต หรือคาร์บ 3-4 วัน สมอง ก็ต้องหาแหล่งพลังงานอื่นมาแทน ซึ่งแหล่งพลังงานที่ว่านี้ก็คือ คีโตนบอรดี้ อันได้แก่ acetoacetate, Beta-hydroxybutyric acid และ acetone ซึ่งสารเหล่านี้จะผลิตที่ตับโดยอาศัยกรดไขมันเป็นวัตถุดิบหลัก
โดยในสภาวะที่ร่างกายผลิตคีโตนบอร์ดี้ในปริมาณที่มากแล้ว นั้นก็คือร่างกายได้เข้าสู่ภาวะ ketosis นั่นเอง
โดยมีสองอาการที่บ่งบอกถึงภาวะนี้ อันได้แก่ ketonemia และ ketonuria หรือปริมาณคีโตนบอร์ดี้ในเลือดและปัสสาวะที่สูงกว่าปกติ โดยเราสามารถใช้แผ่นตรวจคีโตนยืนยันว่าคุณเข้าสู่ภาวะนี้ได้ นอกจากนี้คุณอาจจะมีกลิ่นปากแบบหอมๆเหมือนผลไม้ และมีกลิ่นปัสสาวะที่เปลี่ยนไป ซึ่งนั่นเป็นผลมาจาก ketone ในร่างกายนั่นเอง
ทำไมร่างกายถึงใช้ ketone แทนน้ำตาลได้
โดยภาวะปกติร่างกายคนเราจะมี ketone bodies อยู่แค่ 0.3 mmol/l ในขณะที่น้ำตาลกลูโคสที่ 4 mmol/l โดยทั้งสองมีค่าคงที่การผ่านหรือ Km ที่ใกล้เคียงกันทำให้เมื่อร่างกายสร้าง ketone bodies ในปริมาณที่มากพอ หรือมากกว่า 4 mmol/l สมองก็สามารถจะเลือกผ่าน ketone bodies ไปยังสมองผ่านเยื่อเลือกผ่านในสมองได้ (blood brain barrier) ซึ่งการใช้แผ่นตรวจคีโตน ก็นิยมให้ได้ค่าที่ประมาณ 0.5-4 mm/l
ทำไม Lipolyisis/Ketosis ถึงได้ผล
หน้าที่หนึ่งของอินซูลินนอกเหนือจากการทำให้เซลล์ใช้พลังงานจากกลูโคส ก็คือ การเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตส่วนเกิน (ใช้ไม่หมด) ให้ไปสะสมในรูปของไขมันในร่างกาย โดยในร่างกายของคนปกติ กรดไขมันหรือ fatty acids และ คีโตนหรือ ketones พร้อมที่จะเปลี่ยนจากไขมันมาเป็นพลังงานตลอดเวลา แต่ว่าคนที่มีภาวะที่อ้วนมาก และมีระดับอินซูลินที่สูงนั้น ตัวอินซูลินจะยับยั้งการเปลี่ยนจากไขมันเป็นพลังงานนี้
คนอ้วนส่วนใหญ่ นั้นร่างกายนจะเคยชินไปกับการปล่อยอินซูลินปริมาณมาก (ภาวะดื้ออินซูลิน Insulin resistance) นั่นทำให้ร่างกายของคนอ้วนส่วนใหญ่มีปริมาณอินซูลินสูงตลอดเวลา ทำให้กระบวนการเปลี่ยนหรือเผาผลาญไขมันนี้เป็นไปได้ยาก
โดยการบังคับให้ร่างกายใช้ไขมันอย่างเดียวแทนที่คาร์โบไฮเดรต (อาหารคีโตหรือการอดอาหารเป็นระยะเวลานาน) การเผาผลาญไขมันหรือ Lipolysis จะทำให้วัฏจักรการสร้างอินซูลินหยุดและชอลอลง และไม่ให้เกิดไขมันสะสมเพิ่มเติม
ด้วยเหตนี้การที่คุณทานอาหารคีโต โดยควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้ต่ำ ก็จะทำให้คุณบังคับร่างกายตัวเองให้หันมาเผาผลาญไขมัน และทำให้ระดับอินซูลินที่ผิดพลาดกับไปสู่ระดับเดิม อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบปีหรือทศวรรษเลยก็ว่าได้
แล้วคีโตสิสจะช่วยเราลดน้ำหนักได้อย่างไร
การลดน้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ที่การอดอาหารที่เราทานเข้าไป นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลมาก (การคุมแคลอรี่) แต่การลดแบบนี้นั้นบางส่วนก็มาจากไขมันและบางส่วนก็มาจากกล้ามเนื้อ (อาจจะเคยเห็นคนที่ลดน้ำหนักแล้วดูซูบไป) เวลาที่เราสูญเสียกล้ามเนื้อไปนั้นก้จะทำให้ระบบเผาผลาญเราทำงานช้าลงไปด้วย และยิ่งทำให้การลดน้ำหนักยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ทำให้เกิดการโยโย่ได้ง่าย (เพราะถึงแม้คุณจะกินเท่าเดิม แต่ร่างกายคุณจะไม่เผาผลาญเท่าเดิมอีกต่อไป) ในทางกลับกัน คีโตสิส ช่วยให้คุณเสียแต่ไขมัน และเสียกล้ามเนื้อในปริมาณที่น้อย
เวลาที่คุณอยู่ในคีโตสิสนั้น พลังงานหลักของร่างกายก็จะมาจากไขมัน ในรูปของคีโตน เมื่อไรก็ตามที่คุณยังทานโปรตีนในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่จะให้ร่างกายของคุณจะไปย่อยกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานแทนที่ไขมันที่คุณมีอยู่เต็มเปี่ยม คีโตสิสบางครั้งยังอาจจะช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน เมื่อตับเปลี่ยนไขมันให้เป็นคีโตน มันไม่สามารถเปลี่ยนคีโตนให้กลับเป็นไขมันได้ ดังนั้นมันเลยต้องกำจัดออกมา (นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนที่กินนานๆจึงเห็นระดับคีโตนที่ต่ำลง ก็เพราะตับเริ่มฉลาดขึ้นนั่นเอง และเผาผลาญออกมาในปริมาณที่พอดีมากขึ้น)
คีโตสิสอันตรายหรือไม่
การที่อยู่ภาวะคีโตสิสจากการทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำนั้นไม่เป็นอันตรายแน่นอน ฟันธง (ณ ตอนนี้) แต่ถ้ามีงานวิจัยมาขัดแย้งในอนาคตอันนี้ก็อาจจะเป็นไปได้ ร่างกายคนเรานั้นถูกออกแบบมาให้ใช้คีโตนเป็นพลังงานในยามที่ร่างกายขาดกลูโคสอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามคำว่าคีโตสิสมักถูกสลับกับคำว่า Ketoacidosis
Ketoacidosis นี่เป็นอาการที่ถึงตายเลยนะครับ เป็นอาการหนึ่งที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน และจุดหลักๆของมันก็คือ Acid หรือกรด อาการนี้ก็คืออาการที่ร่างกายมีเลือดเป็นกรดที่สูง เนื่องจากอินซูลินทำงานได้ไม่ดีและไม่มีตัวมาคอยรักษาระดับของทั้งน้ำตาลและคีโตน ด้วยเหตุนี้คีโตนจึงไม่ใช่สาเหตุหลักของการนี้แต่คือการขาดของอินซูลินนั่นเอง คนที่เป็นเบาหวานก็สามารถที่จะทานอาหารคีโตได้ แต่ว่าต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ (ซึ่งอาจจะหาแพทย์ที่จะดูแลยาก เพราะเพื่อนผมที่เป็นหมอยังสับสนกับคำว่า ketosis และ ketoacidosis อยู่เลย)
โดยหาคุณเริ่มมีอาการเหล่านี้ก็ควรหยุดทานอาหารแนวนี้ทันที แล้วปรึกษาแพทย์ด่วน
- ตัวร้อน ผิวแห้ง
- ตาพล่า
- หิวน้ำตลอดเวลา และปัสสาวะบ่อย
- ง่วงตลอดเวลา
- หายใจถี่และหายใจลึก
- ปากมีกลิ่นผลไม้
- สับสน งงงวย
- ไม่อยากทานอาหาร
- ปวดท้อง
- อ้วก
คีโตสิสทำให้สูญเสียกล้ามเนื้อ
มีเพียงแค่คนที่อยู่ในการทานอาหารประเภทที่อดอาหารแบบสุดๆ หรือการจำกัดแคลอรี่แบบสุดติ่งตลิ่งแมว กินข้าววันละช้อนอะไรงี้ (อาจจะมากกว่านั้นก็ได้มั้งครับ) เพราะว่าร่างกายรับปริมาณโปรตีนมาไม่เพียงพอและแหล่งพลังงานอื่นก็ถูกจำกัดหมด ทำให้ร่างกายหันไปเผาผลาญทั้งไขมันและกล้ามเนื้อในเวลาเดียวกัน แต่ก็ต้องคำนวณปริมาณสารอาหาร ที่เหมาะสมในการทานด้วย
คาเฟอีน และ กาแฟ ส่งผลอย่างไรกับคีโตสิส?
ยังเป็นอะไรที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด มีงานวิจัยหลายอันที่บ่งชี้ว่าคาเฟอีนทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นเป็นผลมาจากอินซูลิน งานวิจัยทำโดยการให้คนทานน้ำตาลกลูโคส 50 กรัมต่อวัน และตามด้วยคาเฟอีนเม็ด ซึ่งนี่ก็อาจจะแตกต่างจากชาวคีโตที่เราทานแค่ 20-50 กรัมแต่กระจายทั้งวัน ไม่ได้อัดตู้มมื้อเดียวแล้วกรอกกาแฟเข้าปากตามกันเน้าะครับ
มีคนมากมายที่ทานอาหารแนวนี้แล้วก็ยังทานชา กาแฟดำ กันปกตินะครับ บางท่านอาจจะพิศดารแล้วเติมเนยน้ำมันมะพร้าวเข้าไปด้วย อาจจะมีบางคนที่มีอาการดื้ออินซูลินอยู่แล้ว (อาการก่อนเบาหวาน เรียกว่า Insulin resistance) หากคุณเป็นคนที่น้ำหนักลดมาตลอดแล้วอยู่ดีก็หยุดลดเป็นเดือนสองเดือน ลองหยุดทานกาแฟซักเดือนก็น่าสนใจนะครับ (แต่จะทำงานได้ไหมอันนี้ไม่ทราบ อาจจะหลับคาโต๊ะทำงานเลยก็ได้)
แอลกอฮอล์ส่งผลอะไรกับคีโตสิส?
ทั้งไม่และใช่ในคำตอบเดียวกันเลย โดยปกติตับจะพยายามเผาผลาญและกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากระบบก่อน เพราะฉะนั้นเวลาคุณทานแอลกอฮอล์ร่างกายคุณก็ยังอยู่ในภาวะคีโตสิส ปัญหาก็คือแอลกอฮอล์นั้นเปลี่ยนง่ายกว่าไขมันมาก เพราะฉะนั้นตับก็จะให้ความสำคัญกับการใช้แอลกอฮอล์แทนที่ไขมัน เวลาคุณดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะทำให้การเผาผลาญไขมันหยุดฉะงักลงชั่วคราว จนกว่าร่างกายจะใช้แอลกอฮอล์จนหมด (ดื่มเยอะก็นาน)
แอลกอฮอล์สามารถที่จะย่อยได้ง่ายกว่า โดยสามารถย่อยให้เป็นคีโตนและ acetaldehyde ทำให้คนที่ทานคีโตจะเมาได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อไม่ทานอะไรเข้าไปช่วยชะลอการดูดซึม (ดีนะกินนิดเดียวก็เมาได้ ทดสอบมาด้วยตัวเองแล้วเบียร์แก้วเดียวก็มึนได้ ปกติผมทานเป็นเหยือกครับ)